หัวข้อ   “ดัชนีคาดการณ์เศรษฐกิจไทย 3 เดือนข้างหน้า (พ.ค. 54)”
                 นักเศรษฐศาสตร์มองเศรษฐกิจไทย 3 เดือนข้างหน้ายังสดใสแม้แวดล้อม
ไปด้วยปัจจัยเสี่ยง
ดีมาก (5)
ดี (4)
ปานกลาง (3)
พอใช้ (2)
แย่ (1)
 
 
 
                 ศูนย์วิจัยมหาวิทยาลัยกรุงเทพ(กรุงเทพโพลล์)  เปิดเผยผลสำรวจความเห็น
นักเศรษฐศาสตร์ที่ทำงานอยู่ในหน่วยงานด้านการวิเคราะห์  วิจัยเศรษฐกิจระดับชั้นนำของ
ประเทศ 26 แห่ง จำนวน 83 คน เรื่อง “
ดัชนีคาดการณ์เศรษฐกิจไทย 3 เดือนข้างหน้า
(พ.ค. 54)
”   โดยเก็บข้อมูลระหว่างวันที่ 19 - 25 ม.ค. ที่ผ่านมา พบว่า
 
                 ดัชนีคาดการณ์เศรษฐกิจไทยในอีก 3 เดือนข้างหน้า อยู่ที่ 58.11
ซึ่งเป็นระดับที่สูงกว่า 50 และอยู่ในระดับที่เพิ่มขึ้นเมื่อเปรียบเทียบกับการคาดการณ์
ครั้งก่อนหน้า แสดงให้เห็นว่านักเศรษฐศาสตร์มีความเชื่อมั่นว่าเศรษฐกิจไทยในอีก
3 เดือนข้างหน้าจะปรับตัวดีขึ้นเมื่อเปรียบเทียบกับปัจจุบัน
   อย่างไรก็ตาม เมื่อพิจารณา
ในแต่ละปัจจัยขับเคลื่อนเศรษฐกิจ  กลับพบว่า การปรับเพิ่มขึ้นของดัชนีคาดการณ์ฯ เป็นผล
มาจากปัจจัยการใช้จ่ายและการลงทุนของภาครัฐ กับ ปัจจัยการส่งออก ในขณะที่ปัจจัยอื่นๆ
ที่เหลือกลับปรับตัวลดลง (ตารางที่ 1)
 
                 ส่วนดัชนีสถานะทางเศรษฐกิจของไทยในปัจจุบัน (ม.ค. 54)  ยังคงอยู่ในสถานะที่แข็งแกร่ง
อย่างต่อเนื่องเห็นได้จากค่าดัชนีที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นติดต่อกันทั้ง 3 ครั้งที่ทำการสำรวจ   กล่าวคือปรับเพิ่มขึ้นจาก
42.16 เป็น 53.50 และ 56.35   ในการสำรวจครั้งนี้และเป็นระดับที่สูงกว่า 50 แสดงให้เห็นว่าสถานะทาง
เศรษฐกิจของไทยในปัจจุบันอยู่ในสถานะที่แข็งแกร่งขึ้น
  เมื่อพิจารณาในแต่ละปัจจัยขับเคลื่อนเศรษฐกิจ พบว่า
ปัจจัยการลงทุนภาคเอกชนแม้ว่าแนวโน้มการเปลี่ยนแปลงจะปรับตัวดีขึ้นตามลำดับ   แต่ค่าดัชนีอยู่ในระดับต่ำกว่า 50
แสดงให้เห็นว่าการลงทุนภาคเอกชนยังคงอยู่ในสถานะที่อ่อนแอ   ส่วนปัจจัยการส่งออก แม้ว่าค่าดัชนีจะอยู่ในระดับที่
สูงกว่า 50  ซึ่งแสดงให้เห็นว่าการส่งออกยังคงอยู่ในสถานะที่แข็งแกร่ง   แต่แนวโน้มการเปลี่ยนแปลงกลับมีทิศทางที่
ลดลง  ข้อมูลดังกล่าวสื่อให้เห็นว่าบทบาทของการส่งออกต่อเศรษฐกิจของไทยจะไม่มากเมื่อเทียบกับช่วงที่ผ่านมา
(ตารางที่ 1)
 
                 สำหรับการประเมินสภาวะแวดล้อมทางเศรษฐกิจที่จะกระทบต่อเศรษฐกิจไทยในอีก 3 เดือนข้างหน้า
พบว่า   จากจำนวน 10 ปัจจัยที่ทำการสำรวจ มีถึง 6 ปัจจัยที่จะส่งผลด้านลบต่อเศรษฐกิจไทย  ประกอบด้วย
อันดับ 1 ราคาน้ำมัน (ร้อยละ 92.8)   อันดับ 2 ปัจจัยด้านการเมือง (ร้อยละ 65.1)   อันดับ 3 อัตราเงินเฟ้อ
ทั่วไป (ร้อยละ 65.1)
   อันดับ 4 วิกฤติหนี้สาธารณะของยุโรป(ร้อยละ 53.0)   อันดับ 5 อัตราดอกเบี้ยธนาคารพาณิชย์
(ร้อยละ 47.0)    อันดับ 6 อัตราแลกเปลี่ยนเงินบาท (ร้อยละ 42.2)    ขณะที่ปัจจัยที่จะส่งผลด้านบวกต่อเศรษฐกิจไทย
มี 2 ปัจจัย  ประกอบด้วย  ความเชื่อมั่นภาคธุรกิจ (ร้อยละ 48.2 )  และความเชื่อมั่นของผู้บริโภค (ร้อยละ 42.2)
ส่วนค่าเงินหยวนของจีน เชื่อว่าจะไม่ส่งผลกระทบ (ร้อยละ 43.4)  สำหรับเศรษฐกิจโลกนั้นนักเศรษฐศาสตร์ยังคงมี
ความเห็นที่แตกต่างกัน   โดยร้อยละ 36.1  เชื่อว่าจะส่งผลกระทบด้านลบ   และอีกร้อยละ 35.0  เชื่อว่าจะส่งผลด้านบวก
ต่อเศรษฐกิจไทย (ตารางที่ 2)
 
                 โปรดพิจารณารายละเอียดของผลสำรวจดังต่อไปนี้
 
       ตารางที่ 1   ปัจจัยในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยในปัจจุบัน และคาดการณ์อนาคตอีก 3 เดือน
                       ข้างหน้า เปรียบเทียบย้อนหลัง 3 เดือน และ 6 เดือน

ปัจจัยขับเคลื่อนเศรษฐกิจ
ดัชนีสถานะทางเศรษฐกิจ
ในปัจจุบัน
ดัชนีคาดการณ์เศรษฐกิจ
ในอีก 3 เดือนข้างหน้า
ก.ค.53
ต.ค.53
ม.ค.54
ก.ค.53
ต.ค.53
ม.ค.54
1) การบริโภคภาคเอกชน
39.13
50.00
56.02
79.29
64.19
53.61
2) การลงทุนภาคเอกชน
24.26
45.21
49.39
71.01
67.81
62.20
3) การใช้จ่ายและการลงทุนภาครัฐ
58.09
56.16
58.02
65.22
55.48
63.58
4) การส่งออกสินค้า
76.09
69.59
65.24
63.57
28.38
47.56
5) การท่องเที่ยวจากต่างประเทศ
13.24
46.53
53.09
81.88
67.36
63.58
ดัชนีรวม
42.16
53.50
56.35
72.19
56.64
58.11
หมายเหตุ : ค่าดัชนีจะมีค่าอยู่ระหว่าง 0-100 โดย
  ค่าดัชนีเท่ากับ 50 หมายถึง นักเศรษฐศาสตร์มีความเชื่อมั่นว่าปัจจัยขับเคลื่อนเศรษฐกิจอยู่ใน
สถานะปกติ (สำหรับสถานะปัจจุบัน) หรือหมายถึง นักเศรษฐศาสตร์มีความเชื่อมั่นอยู่ในระดับ
เดิม/ไม่เปลี่ยนแปลง (สำหรับการคาดการณ์ในอีก 3 เดือนข้างหน้า)
  ค่าดัชนีสูงกว่า 50 หมายถึง นักเศรษฐศาสตร์มีความเชื่อมั่นว่าปัจจัยขับเคลื่อนเศรษฐกิจอยู่ใน
สถานะแข็งแกร่ง (สำหรับสถานะปัจจุบัน) หรือหมายถึง นักเศรษฐศาสตร์มีความเชื่อมั่นอยู่ใน
ระดับ ดีขึ้น (สำหรับการคาดการณ์ในอีก 3 เดือนข้างหน้า)
  ค่าดัชนีต่ำกับ 50 หมายถึง นักเศรษฐศาสตร์มีความเชื่อมั่นว่าปัจจัยขับเคลื่อนเศรษฐกิจอยู่ใน
สถานะอ่อนแอ (สำหรับสถานะปัจจุบัน) หรือหมายถึง นักเศรษฐศาสตร์มีความเชื่อมั่นอยู่ในระดับ
แย่ลง (สำหรับการคาดการณ์ในอีก 3 เดือนข้างหน้า)
 
 
       ตารางที่ 2   ปัจจัยในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยในปัจจุบัน และคาดการณ์อนาคตอีก 3 เดือน

สภาวะแวดล้อมทางเศรษฐกิจ
คาดการณ์ผลกระทบต่อ
เศรษฐกิจไทยในอีก 3 เดือนข้างหน้า
ไม่ตอบ
/
ไม่แน่ใจ
ส่งผลด้านลบ
ไม่ส่งผล
ส่งผลด้านบวก
- ราคาน้ำมันโดยภาพรวม
92.8
4.8
1.2
1.2
- ปัจจัยด้านการเมือง
65.1
13.3
9.6
12.0
- อัตราเงินเฟ้อทั่วไป
65.1
28.9
4.8
1.2
- วิกฤติหนี้สาธารณะของยุโรป
53.0
41.0
1.2
4.8
- อัตราดอกเบี้ยธนาคารพาณิชย์
47.0
36.2
8.4
8.4
- อัตราแลกเปลี่ยนเงินบาท
42.2
42.2
7.2
8.4
- เศรษฐกิจโลกโดยภาพรวม
36.1
19.3
35.0
9.6
- ค่าเงินหยวนของจีน
32.5
43.4
12.0
12.0
- ความเชื่อมั่นผู้บริโภค
22.9
31.3
42.2
3.6
- ความเชื่อมั่นภาคธุรกิจ
22.9
27.7
48.2
1.2
 

** หมายเหตุ:  รายงานผลสำรวจความเห็นนักเศรษฐศาสตร์ฉบับนี้   เป็นการสำรวจความเห็นส่วนตัวของ
                     นักเศรษฐศาสตร์ซึ่งมิได้สื่อถึงแนวนโยบายขององค์กรที่นักเศรษฐศาสตร์สังกัดอยู่แต่อย่างใด

 
 
รายละเอียดในการสำรวจ
วัตถุประสงค์:
                  1. เพื่อสำรวจความคิดเห็นนักเศรษฐศาสตร์ต่อสถานะทางเศรษฐกิจของไทยในปัจจุบันและทิศทาง
                      ในอนาคตอีก 3 เดือนข้างหน้า
                  2. เพื่อทราบสภาวะแวดล้อมทางเศรษฐกิจว่าจะส่งผลอย่างไรต่อเศรษฐกิจไทยในอีก 3 เดือนข้างหน้า
                  3. เพื่อสะท้อนข้อเสนอแนะประเด็นเศรษฐกิจของนักเศรษฐศาสตร์ไปยังรัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
 
กลุ่มตัวอย่าง:
                        เป็นนักเศรษฐศาสตร์ที่สำเร็จการศึกษาทั้งระดับปริญญาตรีและปริญญาโทในสาขาเศรษฐศาสตร์
               (กรณีสำเร็จการศึกษาด้านเศรษฐศาสตร์เฉพาะปริญญาตรี หรือปริญญาโท หรือปริญญาเอก อย่างใดอย่างหนึ่ง
               จะต้องมีประสบการณ์ในการทำงานด้านวิเคราะห์/วิจัย/หรืองานที่เกี่ยวข้องที่ต้องใช้ความรู้ความสามารถ
               ด้านเศรษฐศาสตร์อย่างน้อย 5 ปีจนถึงปัจจุบัน) ที่ทำงานอยู่ในหน่วยงานด้านการวิเคราะห์ วิจัยเศรษฐกิจ
               ระดับชั้นนำของประเทศ จำนวน 26 แห่ง ได้แก่   ธนาคารแห่งประเทศไทย   สำนักงานคณะกรรมการ
               พัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ   สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง   สำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม
               สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร    สำนักดัชนีเศรษฐกิจการค้ากระทรวงพาณิชย์   สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนา
               ประเทศไทย   มูลนิธินโยบายเศรษฐกิจการคลัง   บริษัทศูนย์วิจัยกสิกรไทย   ธนาคารเพื่อการส่งออกและ
               นำเข้าแห่งประเทศไทย   ธนาคารกรุงไทย   ธนาคารกรุงศรีอยุธยา   ธนาคารนครหลวงไทย
               ธนาคารซีไอเอ็มบีไทย   บริษัทหลักทรัพย์ภัทร   บริษัทหลักทรัพย์เคจีไอ   บริษัทหลักทรัพย์เอเซียพลัส
               บริษัทหลักทรัพย์พัฒนสิน   บริษัทหลักทรัพย์ฟินันเซีย ไซรัส   บริษัทหลักทรัพย์เกียรตินาคิน
               คณะเศรษฐศาสตร์มหาวิทยาลัยทักษิณ   คณะเศรษฐศาสตร์มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์
               คณะเศรษฐศาสตร์มหาวิทยาลัยเชียงใหม่   คณะเศรษฐศาสตร์มหาวิทยาลัยขอนแก่น  คณะเศรษฐศาสตร์
               มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์  และอาจารย์คณะเศรษฐศาสตร์และนักวิจัยประจำศูนย์วิจัยมหาวิทยาลัยกรุงเทพ
 
ระเบียบวิธีการสำรวจ:
                        รวบรวมข้อมูลโดยการส่งแบบสอบถามออนไลน์ไปยังนักเศรษฐศาสตร์ในหน่วยงานที่กำหนดภายใน
               ระยะเวลาที่กำหนด
 
ระยะเวลาในการเก็บข้อมูล: 19 - 25 มกราคม 2554
 
วันที่เผยแพร่ผลสำรวจ: 27 มกราคม 2554
 
สรุปข้อมูลพื้นฐานของกลุ่มตัวอย่าง:
ตารางข้อมูลประชากรศาสตร์
 
จำนวน
ร้อยละ
ประเภทของหน่วยงานที่กลุ่มตัวอย่างทำงานอยู่:    
             หน่วยงานภาครัฐ
36
43.4
             หน่วยงานภาคเอกชน
28
33.7
             สถาบันการศึกษา
19
22.9
รวม
83
100.0
เพศ:    
             ชาย
43
51.8
             หญิง
40
48.2
รวม
83
100.0
อายุ:
 
 
             26 – 35 ปี
32
38.6
             36 – 45 ปี
25
30.1
             46 ปีขึ้นไป
26
31.3
รวม
83
100.0
การศึกษา:
 
 
             ปริญญาตรี
4
4.8
             ปริญญาโท
64
77.1
             ปริญญาเอก
15
18.1
รวม
83
100.0
ประสบการณ์ทำงาน:
 
 
             1 - 5 ปี
17
20.5
             6 - 10 ปี
25
30.1
             11 - 15 ปี
9
10.8
             16 - 20 ปี
11
13.3
             ตั้งแต่ 21 ปีขึ้นไป
21
25.3
รวม
83
100.0
 
ติดตามกรุงเทพโพลล์ผ่าน twitter ได้ที่  twitter bangkokpoll
Download PDF file:  
 
ศูนย์วิจัยมหาวิทยาลัยกรุงเทพ (กรุงเทพโพลล์)
Email: bangkokpoll@bu.ac.th      โทร. 0-2350-3500 ต่อ 1770-1776